วิธีการป้องกันเสียงดังมี 3 แบบหลักได้แก่
1. ป้องกันที่แหล่งกำเนิด เช่น การเปลี่ยนระบบการทำงานของแหล่งกำเนิด การใช้วัสดุครอบแหล่งกำเนิด เป็นต้น
2. ป้องกันที่ทางเดินของเสียง เช่น การติดตั้งกำแพงกั้นเสียง การทำให้ระยะทางระหว่างแหล่งกำเนิดและผู้รับเสียงเพิ่มขึ้น เป็นต้น
3. ป้องกันที่ผู้รับเสียง โดยการใช้อุปกรณ์ ที่ครอบหู (Ear muffs) หรือที่อุดหู (Ear plugs) เป็นต้น
การเลือกใช้วิธีใดนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น งบประมาณที่มี ลักษณะของสภาพแวดล้อมที่เกิดปัญหา ลักษณะของปัญหาที่เกิดในกรณีของการป้องกันที่ผู้รับเสียง การเลือกอุปกรณ์ป้องกันเสียง เช่น ที่ครอบหู (Ear muffs) หรือที่อุดหู (Ear plugs) มาใช้ป้องกันเสียง ซึ่งเป็นวิธีที่ง่าย ไม่สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายมากเมื่อเทียบกับวิธีอื่น แต่ควรมีหลักในการเลือกอุปกรณ์ให้เหมาะกับสภาวะทางเสียงในขณะนั้น เพราะถ้าเลือกซื้อไม่ถูกต้องอุปกรณ์ก็จะป้องกันเสียงได้ไม่มากหรือป้องกันไม่ได้เลย
ประเภทของอุปกรณ์ป้องกันเสียง แบ่งออกเป็น 2 ประเภทได้แก่
1.ที่ครอบหู (ear muff) ลดเสียงได้ตั้งแต่ 30-40 dB ลดเสียงที่ความถี่สูงกว่า 400 Hz ได้ดี มี 2 ชนิด คือ แบบที่เป็นโลหะและที่เป็นพลาสติก
2.ที่อุดหู (ear plugs) ลดเสียงได้ตั้งแต่ 15-25dB ลดเสียงที่มีความถี่ต่ำกว่า 400 Hz ได้ดี ทำจากวัสดุหลายชนิด เช่น โฟม ใยหิน ใยแก้ว ฯลฯ
การเลือกอุปกรณ์ป้องกันเสียง
การเลือกอุปกรณ์ป้องกันเสียงต้องคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆเหล่านี้
1.ไม่เป็นอุปสรรคต่อกิจกรรมที่กระทำ
2.ไม่เป็นอุปสรรคต่อการสนทนาหรือสื่อสาร
3. ระดับเสียงที่ต้องการลด และ ความสามารถลดระดับเสียงของอุปกรณ์
ความสามารถในการลดเสียงของอุปกรณ์ป้องกันเสียง
การที่จะทราบว่าอุปกรณ์ป้องกันเสียงจะลดระดับเสียงได้กี่เดซิเบลสามารถหาได้ด้วยวิธีดังต่อไปนี้
ระดับเสียงที่ได้รับขณะใส่อุปกรณ์ = ระดับเสียงก่อนใส่อุปกรณ์ - derated NRR* - Co
* derated NRR (Noise Reduction Rating) = NRR - (K x NRR)/100
โดยค่า NRR(Noise Reduction Rating) คือค่าความสามารถในการลดเสียงของอุปกรณ์ซึ่งระบุจากโรงงาน ซึ่งค่านี้ได้จากการทดสอบในห้องปฏิบัติการ
ค่า K คือเปอร์เซ็นต์ของ NRR ที่ใช้ลบกับ NRR ซึ่ง National Institute for Occupational Safety and Health (NIOSH) ได้แนะนำความสามารถของอุปกรณ์แต่ละชนิดในการลดระดับเสียง ( ค่า K ) ไว้ดังนี้
K = 25 กรณีอุปกรณ์เป็นที่ครอบหู
K = 50 กรณีอุปกรณ์เป็นที่อุดหูทำจากโฟม
K = 70 กรณีอุปกรณ์เป็นที่อุดหูทำจากวัสดุอื่นๆสำหรับค่า
Co จะขึ้นอยู่กับช่วงความถี่ของเสียงที่ได้ยิน (Frequency) ซึ่งโดยทั่วไปจะแบ่งเป็นช่วง ได้ดังนี้
Co = 0 กรณีระดับเสียงก่อนใส่อุปกรณ์ มีความถี่ของเสียง ในช่วงความถี่ C
Co = 7 กรณีระดับเสียงก่อนใส่อุปกรณ์ มีความถี่ของเสียง ในช่วงความถี่ A ซึ่งเป็นความถี่ที่มนุษย์ได้ยิน
ป้ายแสดงค่า Noise Reduction Rating (NRR) ของ ที่ครอบหู
ป้ายแสดงค่า Noise Reduction Rating (NRR) ของ ที่อุดหูโฟม
ตัวอย่าง การเลือกอุปกรณ์ป้องกันเสียง
มีอุปกรณ์ป้องกันเสียงที่มีป้ายแสดงค่า NRR ดังรูป วัดเสียงเครื่องจักร ได้ 95 dB(A)อยากทราบว่าควรใส่อุปกรณ์ป้องกันเสียงชนิดใดเพื่อให้ได้รับเสียงรับเสียงจากเครื่องจักรไม่เกิน 70 dB(A)
วิธีทำ
เสียงที่ตรวจวัดได้ก่อนใส่อุปกรณ์เป็น 95 dB(A)
กรณีที่อุปกรณ์เป็นที่ครอบหู
NRR = 29
K = 25
Co = 7
Derated NRR =29 - (25x29)/100 = 21.75
เสียงที่ได้รับขณะใส่ที่ครอบหู = 95 - 21.75 - 7 = 66 dB(A)
กรณีที่อุปกรณ์เป็นที่อุดหูที่ทำจากโฟม
NRR = 25
K = 50
Co=7
Derated NRR = 25 - (50x25)/100 = 12.5
เสียงที่ได้รับขณะใส่ที่อุดหู = 95-12.5-7 = 75.5 dB(A)
นั่นคือ เหตุผลที่สมควรเลือก ที่ครอบหู
ตารางแสดงมาตรฐานเปรียบเทียบระดับเสียงเฉลี่ย ที่ยอมรับได้กับเวลาการทำงานในแต่ละวัน
ระดับเสียงเฉลี่ยตลอดเวลา การทำงานไม่จำนวนชั่วโมง |
ระดับเสียงเฉลี่ยตลอดเวลา การทำงานไม่เกินเดซิเบล(เอ) |
12 | 87 |
8 | 90 |
6 | 92 |
4 | 95 |
3 | 97 |
2 | 100 |
1.5 | 102 |